Wednesday, April 30, 2014

increase กับ increase to ต่างกันอย่างไร

ในประโยคทั่วไป increase จะหมายความว่า "เพิ่มขึ้น" 

ส่วน increase to จะหมายความว่า "เพิ่มขึ้นเป็น"

ยกตัวอย่างถ้าเราพูดว่า

My monthly salary increased 20,000 Bath from 10,000 Bath

เงินเดือนฉันเพิ่มขึ้น 20,000 บาท จาก 10,000 บาท (แสดงว่าเงินเดือนเราตอนนี้เท่ากับ 20,000 + 10,000 = 30,000)

แต่ถ้าเราพูดว่า

My monthly salary increased to 20,000 Bath from 10,000 Bath

เงินเดือนฉันเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 บาท จาก 10,000 บาท (แสดงว่าเงินเดือนตอนนี้เท่ากับ 20,000 บาท)


ในบางครั้งเราอาจจะเจอคำว่า increase ตามด้วย by ด้วยอย่างเช่น

My monthly salary increased by 20,000 Bath from 10,000 Bath

ซึ่งในที่นี้ increased by จะมีความหมายเหมือนกับ increased เฉยๆเลยคือ

เงินเดือนฉันเพิ่มขึ้น 20,000 บาท จาก 10,000 บาท (แสดงว่าเงินเดือนเราตอนนี้เท่ากับ 20,000 + 10,000 = 30,000)








Monday, April 7, 2014

Actually แปลว่าอะไร ใช้ยังไง

ความหมายของ Actually ในการใช้ทั่วไปที่เห็นบ่อยสุดนั้นจะสื่อความหมายประมาณว่า "จริงๆแล้ว"

เรามาดูตัวอย่างกันเถอะ


You look Chinese, are you from China?

คุณหน้าตาเหมือนคนจีนนะ คุณมาจากประเทศจีนเหรอ?

No, I am actually from Thailand. หรือ No, actually I am from Thailand.

ไม่ใช่ จริงๆแล้วฉันมาจากประเทศไทย


ในตัวอย่างแรกนี้เราใช้ actually เพื่อแก้ไขข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดมาไม่ถูกต้อง


ตัวอย่างที่สอง


2.2 pounds is equal to 1 kilogram.

2.2 ปอนด์ เท่ากับ 1 กิโลกรัม

Actually it is 2.20462 pounds to be exact.

จริงๆแล้วต้อง 2.20462 ปอนด์ถ้าจะให้เป๊ะ


ในตัวอย่างที่สองนี้เราใช้เพื่อเสริมข้อมูลที่คนอื่นพูดให้ระเอียดหรือครบถ้วนขึ้นกว่าเดิม

Wednesday, April 2, 2014

other กับ another ใช้ต่างกันอย่างไร

บางครั้งเราจะเห็นคนบอกว่า  other นั้นต้องตามด้วย noun ที่เป็น plural ส่วน another นั้นต้องตามด้วย noun ที่เป็น singular ซึ่งก็จริงในหลายกรณีแต่ก็ไม่เสมอไป

หรือที่ว่ากันว่า other นั้นแปลว่า อื่น ส่วน another นั้นแปลว่า อีกอันหนึ่ง ซึ่งก็จริงในหลายกรณีแต่ก็ไม่เสมอไปอีกนั่นแหละ

เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเข้าใจการใช้สองคำนี้น่าจะเป็นการลองดูตัวอย่างการใช้หลายๆแบบ (และได้เห็นการใช้บ่อยๆเวลาเราอ่านหนังสือ)


ตัวอย่างแรก

สมมุติเราทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งแล้วลูกค้าจะมีเพื่อนอีกคนเข้ามาพักที่โรงแรมด้วยแล้วเขาจะถามเราว่ามีอีกห้องหนึ่งให้เพื่อนเขาไหมเขาอาจจะถามว่า

Do you have another room for my friend?

คุณมีห้องอีกห้องหนึ่งสำหรับเพื่อนฉันไหม


แต่สมุมติลูกค้าไม่พอใจกับห้องของเขาแล้วเขาอยากจะเปลี่ยนห้อง เขาอาจจะถามเราว่าคุณมีห้องอื่นให้ไหม ซึ่งก็สามารถถามได้หลายแบบ

Do you have any other rooms? หรือ Do you have other rooms?

คุณมีห้องอื่นไหม

Do you have another room?

คุณมีห้องอีกห้องไหม (เพื่อที่จะเปลี่ยน)


จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ถ้าใช้ other จะตามด้วย rooms ซึ่งเป็น plural ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะถ้าถามว่ามีห้องอื่นๆไหมก็แสดงว่าเรากำลังพูดถึงอีกหลายห้อง แต่ถ้า another room ซึ่งหมายความว่าห้องอีกห้องหนึ่ง เรากำลังพูดถึงห้องอีกแค่ห้องเดียว room จึงเป็น singular


ตัวอย่างที่สอง

บางครั้ง another กับ other ไม่จำเป็นต้องตามด้วย noun เสมอไป เราอาจตัด noun ออกไปเพื่อให้ประโยคสั้นลงได้ อย่างเช่นต่อจากตัวอย่างด้านบน ถ้าเราจะตอบลูกค้ากลับไปว่า ฉันมีห้องอื่นหรือฉันมีอีกห้องหนึ่งก็สามารถตอบไปว่า

I have others

ฉันมีอัน(ห้อง)อื่น

I have another

ฉันมีอีกอัน(ห้อง)

เราไม่จำเป็นต้องใส่ room ต่อก็ได้เพราะลูกค้ารู้แล้วว่าเรากำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่สังเกตว่า others ในกรณีนี้ต้องเติม s เพราะมันเหมือนกลายเป็น noun ซะเองแทนคำว่า room และเพราะเรากำลังพูดถึง อันอื่นๆ (หลายอัน) มันก็เลยต้องเติม s


ตัวอย่างที่สาม

บางครั้ง other ก็แปลเป็น "อีกอันหนึ่ง"ได้เหมือนกันในกรณีที่เราต้องการจะพูดถึงของอีกอันนึงแบบเจาะจง

สมมุติเราไปหาซื้อกระเป๋าแล้วมีกระเป๋าอยู่สองใบ อันหนึ่งสีดำอีกอันหนึ่งสีขาว แล้วคนขายถามเราว่า

Do you want the black bag?

คุณอยากได้กระเป๋าสีดำเหรอ

แต่ถ้าเราอยากได้กระเป๋าสีขาวเราก็อาจจะตอบเขากลับไปว่า

No, I want the other bag.

ไม่ ฉันต้องการกระเป๋าอีกอันหนึ่ง(กระเป๋าสีขาว)

จะสังเกตุว่าในกรณีนี้เราจะใช้ the other ไม่ใช่ other เฉยๆเพราะผู้ฟังรู้ว่าเรากำลังพูดเจาะจงถึงสิ่งของอันไหน(กระเป๋าสีขาว)


ตัวอย่างที่สี่

another ไม่จำเป็นต้องตามด้วย noun ที่เป็น singular เสมอไป

สมมุติเราเอารถเข้าไปซ่อมที่อู่เมื่อสองเดือนที่แล้ว แล้วที่อู่ต้องการจะบอกเราว่าเขาจะต้องใช้เวลาอีกสามเดือนเพื่อที่จะซ่อมรถของเรา เขาอาจจะพูดว่า

I will need another three months to fix your car.

ฉันจะต้องการเวลาอีกสามเดือนเพื่อที่จะซ่อมรถของคุณ


หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมหรือต้องการจะเสริมก็เขียนใส่ไว้ใน comment ด้านล่างได้เลยครับ




Tuesday, April 1, 2014

the กับ a ใช้ต่างกันอย่างไร

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า the นั้นใช้ใส่ไว้ก่อนหน้า noun ที่เจาะจง ส่วน a นั้นใช้เมื่อเราพูดถึง noun ที่เราไม่เจาะจง แต่หลายๆคนก็อาจจะยังสับสนอยู่ดี

จริงๆแล้ววิธีคิดง่ายๆที่เราอาจจะใช้ในการตัดสินใจว่าควรจะใช้ the หรือ a คือลองคิดดูว่าผู้ฟังหรือผู้อ่านนั้นจะรู้หรือไม่ว่าเรากำลังพูดถึงอะไร

ยกตัวอย่างแรก

I studied at Bangkok University. The university is very big.

ฉันเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยนี้ใหญ่มาก

จะเห็นว่าเราเกริ่นนำมาตั้งแต่ประโยคแรกว่า "ฉันเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" เพราะฉะนั้นพอถึงประโยคต่อไปที่จะบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้ใหญ่มาก คนฟังหรือคนอ่านรู้แล้วว่าเรากำลังพูดถึงมหาวิทยาลัยไหน (มหาวิทยาลัยกรุงเทพ) เราจึงใช้ the university


ตัวอย่างที่สอง

I need a phone. I want to call my mother.

ฉันต้องการโทรศัพท์ ฉันต้องการจะโทรหาคุณแม่

อันนี้เราต้องการจะสื่อว่าต้องการโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง (เครื่องไหนก็ได้) เราจึงใช้ a phone

ตัวอย่างที่สาม

สมมุติว่าเพื่อนเรายืมโทรศัพท์เราไปใช้แล้วเราต้องการจะบอกเขาว่า ฉันต้องใช้โทรศัพท์ของฉันแล้วนะเพราะฉันอยากจะโทรหาคุณแม่ เราอาจจะพูดว่า

I need the phone. I want to call my mother.

ฉันต้องใช้โทรศัพท์ ฉันต้องการจะโทรหาคุณแม่

ในกรณีนี้เพื่อนเรารู้ว่าเรากำลังพูดถึงโทรศัพท์ของเราที่ให้เขายืมเราจึงใช้คำว่า the phone

ตัวอย่างที่สี่

The Sun is bright today.

วันนี้ดวงอาทิตย์สดใส

ในกรณีนี้คนฟังน่าจะรู้ได้ว่าเรากำลังพูดถึงดาวฤกษ์ดวงไหน ซึ่งก็คือดวงอาทิตย์นั่นเอง

แต่ถ้าเราไปพูดว่า

A Sun is bright today.

วันนี้ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งสดใส

 ความหมายก็จะเปลี่ยนไป เราอาจจะพูดถึงดาวฤกษ์ดวงไหนก็ได้


หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมหรือต้องการจะเสริมก็เขียนใส่ไว้ใน comment ด้านล่างได้เลยครับ